วิธีรักษาโรคเห็บหมัดในแมว
การเลือกซื้อยากำจัดเห็บหมัดควรเลือกให้เหมาะสมกับน้องเหมียว
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเห็บหมัดในแมว
แมวที่ชอบออกไปผจญภัยนอกบ้านมักจะเผชิญกับความเสี่ยงมากกว่าแมวที่เลี้ยงในบ้าน ทั้งจากนักล่าขนาดใหญ่ มลพิษ แมลง และปรสิตตัวร้าย ซึ่งหมัดเป็นหนึ่งในปรสิตที่พบบ่อยที่สุดในแมว มันเป็นต้นเหตุของความไม่สบายตัว อาการแพ้บริเวณผิวหนัง และปัญหาสุขภาพอื่นอีกมากมาย เพื่อให้เจ้าเหมียวปลอดภัยจากปรสิตตัวร้ายชนิดนี้ ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับหมัดในแมว และเรียนรู้วิธีป้องกันอย่างเหมาะสม
วิธีการสังเกตตัวหมัดและจุดที่พบได้บ่อย
หมัดมีลำตัวแบน เมื่อโตเต็มวัยจะมีความยาวได้ถึง 3 มม. สามารถพบได้ทั่วไปในสถานที่ เช่น
สนามหญ้าและสวน
ปรสิตชนิดนี้ชอบสภาพแวดล้อมที่เย็นและชื้น จึงพบได้บ่อยในสวนหรือบริเวณที่มีพุ่มไม้และหญ้าสูง
ภายในบ้าน
มักจะพบได้ในที่ชื้น เช่น พรมหรือผ้าปูที่นอน บริเวณรอยแตกตามพื้นและเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นแหล่งทำรังของหมัดที่ดีเช่นกัน
สาเหตุที่ทำให้หมัดแมวกัด
เลือดของสัตว์เป็นอาหารหลักของหมัดตัวร้าย พวกมันจะเกาะติดกับผิวหนังของเหยื่อและกัดเพื่อดูดเลือดจากใต้ผิวหนัง การกัดไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์อีกด้วย เมื่อได้รับสารอาหารครบถ้วนแล้ว หมัดตัวเมียจะวางไข่บนตัวเหยื่อเพื่อขยายพันธุ์ การถูกหมัดแมวกัดสร้างความเจ็บปวด ก่อให้เกิดอาการคันและตุ่มแดงบนผิวหนัง
หมัดเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่?
กรณีที่คนโดนหมัดแมวกัดพบได้ยากมาก แต่มันก็เกิดขึ้นได้ การกัดทำให้เกิดความเจ็บปวด ไม่สบายตัว อาจมีตุ่มแดงหรือวงแหวนเกิดขึ้นรอบ ๆ รอยกัด ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นแผลพุพองหรือแผลเปิดได้ กรณีที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ เกิดรอยแดง และอาการบวม อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดโรคติดต่อ เช่น กาฬโรคและไข้รากสาดใหญ่
ผลข้างเคียงจากการโดนหมัดแมวกัด
การถูกหมัดแมวกัดอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง ความเจ็บปวด และไม่สบายตัว ยิ่งถ้าแมวมีเห็บ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น
โรคโลหิตจาง
การมีหมัดทำให้แมวเสี่ยงต่อโรคโลหิตจางเพิ่มขึ้น เนื่องจากหมัดดูดเลือดกินเป็นอาหาร ภาวะโลหิตจางอาจส่งผลให้ร่างกายแมวอ่อนแอ หายใจลำบาก เซื่องซึม และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษา หมัดและเห็บแมวเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องดูแลป้องกันอย่างเหมาะสม
ภาวะภูมิแพ้น้ำลายหมัด
ภาวะภูมิแพ้น้ำลายหมัดหรือเห็บแมว (Flea Allergic Dermatitis; FAD) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นโดยโปรตีนในน้ำลายของหมัด แมวอาจรู้สึกไม่สบายตัวและมีอาการระคายเคือง กรณีที่รุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาในทันที แมวอาจเริ่มแสดงอาการ เช่น ขนร่วงมาก โดยเฉพาะบริเวณหางและต้นขาด้านใน การแพ้น้ำลายหมัดและเห็บแมวยังส่งผลให้เกิดตุ่มแดง แผลตกสะเก็ด แผลเปิด และการติดเชื้อที่ผิวหนังด้วย
การติดเชื้อพยาธิตัวตืด
แมวมีหมัดจะเลียตัวมากผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้พวกเค้าได้รับหมัดที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดเข้าไปในร่างกาย โดยพยาธิตัวตืดเหล่านี้จะอาศัยอยู่ภายในลำไส้หรือกระเพาะอาหารของแมว
อาการที่พบบ่อยของแมวมีเห็บหมัดหรือติดเชื้อพยาธิตัวตืด ได้แก่ เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสียบ่อย และร่างกายอ่อนแอ
เพราะอะไรเมื่อโดนหมัดกัดถึงมีอาการคัน?
เมื่อหมัดกัด มันจะปล่อยน้ำลายเข้าสู่กระแสเลือดของแมวด้วย มันกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดการตอบสนอง และเพื่อกำจัดสารแปลกปลอมนี้ออกจากร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสารฮีสตามีนออกมา ซึ่งสารตัวนี้คือต้นเหตุของอาการคัน
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าแมวมีหมัด
หากแมวมีเห็บหรือหมัด พวกเค้าจะเกาและเลียตัวมากผิดปกติ อาจมีขนร่วงเป็นหย่อม ๆ รวมถึงมีสะเก็ดแผลและตุ่มแดงตามตัวด้วย
อาการของแมวมีหมัด
ตามมาดูวิธีสังเกตและอาการที่พบได้บ่อยของแมวที่ติดเชื้อเห็บหมัดไปพร้อม ๆ กัน
- การติดเชื้อหมัดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรงบริเวณผิวหนัง แมวจะเกาและกัดตัวเองบ่อย ๆ
- อาจพบตุ่มและสะเก็ดแผลเล็ก ๆ บริเวณคอและตั้งแต่กระดูกสันหลังไปจนถึงโคนหางของแมว
- สำหรับแมวที่มีขนหนาและยาว ให้ตรวจหาหมัดและเห็บแมวจากการแปรงขน โดยสังเกตจากสิ่งที่อยู่ในแปรง เช่น จุดสีขาวและสีดำ โดยจุดสีดำคืออุจจาระหมัด ส่วนจุดสีขาวคือไข่หมัด นอกจากการสังเกตอย่างสม่ำเสมอแล้ว ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีกำจัดหมัดแมวด้วย
ลักษณะรอยกัดของหมัดแมว
รอยกัดจากหมัดแมวมีลักษณะพิเศษเฉพาะ คือจะเป็นตุ่มขนาดเล็ก บริเวณรอบ ๆ รอยกัดจะมีวงแหวนเกิดขึ้น การกัดของหมัดอาจทำให้เกิดการอักเสบบริเวณผิวหนังได้ แต่จะไม่บวมเท่ากับการถูกยุงกัด คุณอาจพบหมัดได้บ่อยในบริเวณท้อง อุ้งเท้า เอว และต้นขาด้านในของแมว
เคล็ดลับการรักษาและวิธีกำจัดหมัดแมว
การติดเชื้อหมัดหรือเห็บแมวสามารถรักษาได้ง่ายและดูแลเองได้ที่บ้านด้วยวิธีเหล่านี้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเห็บหมัดเป็นหนึ่งในวิธีกำจัดหมัดแมวที่ง่ายและสะดวก โดยสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ในร้านเพ็ทช้อปทั่วไป
- แชมพูสูตรสำหรับกำจัดเห็บหมัดก็มีประสิทธิภาพในการรักษาเช่นกัน
- การอาบน้ำจะช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินที่เป็นตัวดึงดูดเห็บและหมัดออกไปได้
- แนะนำให้แปรงขนแมวเป็นประจำ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกพร้อมตรวจเช็กความผิดปกติ
วิธีรักษาหมัดแมวด้วยตนเองที่บ้าน
ทาสแมวหลายคนอาจสงสัยว่าวิธีรักษาหมัดแมวหรือวิธีรักษาเห็บแมวมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? การรักษาไม่จำเป็นต้องทำโดยสัตวแพทย์เสมอไป ผู้เลี้ยงสามารถดูแลรักษาแมวที่มีเห็บหมัดด้วยตนเองตามคำแนะนำต่อไปนี้ได้
- ยาทาเฉพาะที่ เจล และสเปรย์กำจัดหมัดสามารถกำจัดเห็บหมัดได้เป็นอย่างดี
- การใช้ว่านหางจระเข้ น้ำผึ้ง สารสกัดจากชาคาโมมายล์ และน้ำแข็งเป็นวิธีรักษาหมัดแมวที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้แมวรู้สึกผ่อนคลายและบรรเทาอาการคัน
- หากแมวของคุณมีผิวหนังอักเสบ สามารถใช้ยากำจัดหมัดหรือยาสำหรับการรักษาพยาธิตัวตืดในแมวที่มีจำหน่ายทั่วไปได้ เช่น ยา Capster
- กรณีที่แมวมีอาการรุนแรง มีการติดเชิ้อพยาธิ และอาการแพ้ ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที โดยคุณหมออาจแนะนำให้ใช้ยาถ่ายพยาธิสำหรับแมว ยาแก้แพ้ ยาปฏิชีวนะ และสเตียรอยด์ในการรักษา
- เปลี่ยนมาให้อาหารแมวที่มีโอเมก้า 3 สูง เนื่องจากช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองที่ผิวหนังได้ ๆ จากการติดเชื้อพยาธิได้ดี
- สำหรับบ้านที่สมาชิกแมวหลายตัว ควรป้องกันเห็บหมัดและรับการรักษาพยาธิตัวตืดในแมวเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ
เคล็ดลับในการกำจัดเห็บหมัดให้ได้ผล
การรักษาความสะอาดเป็นอีกหนึ่งวิธีกำจัดหมัดแมวที่ได้ผลดี เพราะช่วยกำจัดไข่และตัวอ่อนของหมัดที่แอบซ่อนอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของบ้านออกไป ทั้งนี้หากพบว่าแมวมีหมัด ให้พยายามเปลี่ยนกระบะทรายและเครื่องนอนทันที การทำความสะอาดของเล่น ผ้าห่ม และอุปกรณ์อื่น ๆ ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
การกำจัดเห็บหมัดโดยผู้เชี่ยวชาญ
หากการเยียวยาที่บ้านไม่สามารถกำจัดเห็บหมัดได้หมด คุณควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีรักษาเห็บแมวหรือหมัดแมวที่แนะนำมีดังนี้
- คาลาไมน์หรือยาชาเพื่อบรรเทาอาการคัน
- ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮีสตามีน เพื่อลดอาการคัน
- หากแมวติดเชื้อจากการเกาและกัด คุณหมออาจแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติม
- อาจต้องถ่ายพยาธิ หากแมวแสดงสัญญาณของการติดเชื้อพยาธิตัวตืด
- คุณหมออาจแนะนำให้ใช้ยาเม็ด สารละลายหรือผงสำหรับทา เพื่อกำจัดเห็บและหมัด
เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำอีกครั้ง คุณควรป้องกันเห็บหมัดให้แมวเป็นประจำ รวมถึงควรทำความสะอาดบ้านและบริเวณโดยรอบอย่างสม่ำเสมอ