เมื่อลูกแมวท้องเสียและท้องผูก
ตรงที่ระบบการย่อยอาหารของพวกเขานั้นจะทำการเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปให้กลายเป็นพลังงาน ซึ่งหากอาหารที่กินเข้าไปไม่ดีนั้น ก็อาจจะส่งผลต่อท้องของพวกเขาได้ โดยอาการที่พบได้บ่อยได้แก่ อาการท้องร่วงและท้องผูก หากน้องเหมียวของคุณมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น คุณควรพาเขาไปให้สัตวแพทย์ลองตรวจเช็คดู
การอาเจียน
หากน้องเหมียวของคุณอาเจียนเป็นครั้งเป็นคราวนั้น ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก เพราะ เช่นเดียวกับแมวตัวอื่นๆ การอาเจียนนั้นเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่จะช่วยปกป้องตัวน้องเหมียวเองจากสารอันตรายต่างๆ แต่หากน้องเหมียวของคุณอาเจียนเป็นประจำและคุณกังเวลเกี่ยวกับสุขภาพของเขาล่ะก็ คุณก็ควรพาเขาไปพบสัตวแพทย์
อาการท้องร่วง
อาการท้องร่วงนั้นอาจะเกิดจากเปลี่ยนอาหารของน้องเหมียว การให้อาหารมากเกินไป หรือการติดเชื้อต่างๆ โดยปกติแล้วน้องเหมียวของคุณควรถ่ายอุจจาระอย่างน้อยวันละครั้ง ดังนั้นคุณควรคอยหมั่นสังเกตหากมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น อาการท้องร่วงนั้นอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อน้องเหมียวได้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณ
สาเหตุของอาการท้องเสีย
สาเหตุที่อาจทำให้ลูกแมวท้องเสีย มีดังนี้
- มีพยาธิหรือปรสิตในลำไส้
- โรคไฮเปอร์ไทรอยด์ในแมว
- การเปลี่ยนอาหารอย่างกะทันหัน
- ภาวะตับอ่อนอักเสบ
- การอักเสบของระบบทางเดินอาหาร
- มะเร็ง
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง
ลักษณะอาการ
อาการที่พบได้บ่อยเมื่อลูกแมวท้องเสีย ได้แก่:
- ถ่ายบ่อย (มากกว่าปกติ 2 - 3 เท่า)
- ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
- ถ่ายนอกกระบะทรายโดยไม่ตั้งใจ
- มีอาการปวดท้อง
- ตึงเครียดขณะขับถ่าย
โดยทั่วไปหากลูกแมว 3 สัปดาห์ท้องเสีย พวกเค้าจะมีอาการดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน แต่เจ้าของก็ควรเช็กให้แน่ใจด้วยว่าพวกเค้ากินน้ำในปริมาณที่เหมาะสม และควรสังเกตอาการโดยรวมอย่างใกล้ชิด หากเจ้าตัวน้อยอาการยังไม่ดีขึ้น หรือพบว่ามีไข้ อาเจียน เซื่องซึม เบื่ออาหาร และอุจจาระมีเลือดปนหรือมีสีดำ แนะนำให้รีบพาพวกเค้าไปพบสัตวแพทย์ในทันที
การดูแลรักษาอาการท้องเสีย
การรักษาแมวเด็กท้องเสียจะเป็นไปตามสาเหตุของอาการ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี ดังนี้:
การรักษาทั่วไป:
สัตวแพทย์จะสั่งยารักษาตามสาเหตุของอาการ โดยอาจสั่งยาเมโทรนิดาโซลหรือเพรดนิโซโลนให้เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ รวมถึงอาจให้ถ่ายพยาธิหรือให้กินโพรไบโอติกส์เพิ่มเติม สำหรับลูกแมวที่ปวดท้องจากโรคลำไส้อักเสบ คุณหมออาจแนะนำให้เปลี่ยนสูตรอาหารใหม่ด้วย
การดูแลด้วยตนเอง:
หากเจ้าเหมียวมีอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรง เจ้าของสามารถดูแลพวกเค้าเองที่บ้านได้ โดยทำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ดังนี้:
- เปลี่ยนอาหาร
หากพบว่าเจ้าเหมียวมีอาการท้องเสียหลังเปลี่ยนมาให้อาหารชนิดใหม่ ควรหยุดและเปลี่ยนกลับไปให้อาหารเดิมทันที ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนมาให้อาหารใหม่ ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาท้องไส้ปั่นป่วน โดยสามารถทำตามคำแนะนำด้านล่างนี้:
วันที่ 1 และ 2: อาหารเดิมปริมาณ ¾ และอาหารใหม่ปริมาณ ¼
วันที่ 3 และ 4: อาหารเดิมปริมาณ ½ และอาหารใหม่ปริมาณ ½
วันที่ 5, 6 และ 7: อาหารเดิมปริมาณ ¼ และอาหารใหม่ปริมาณ ¾
ตั้งแต่วันที่ 8 เป็นต้นไป: อาหารใหม่ทั้งหมด
หากเจ้าเหมียวมีอาการท้องเสียจากการกินอาหารเดิม ให้ตรวจสอบว่าอาหารดังกล่าวมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากความต้องการของแมวจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย และการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอก็อาจทำให้ระบบย่อยอาหารของพวกเค้าปั่นป่วนได้
- กินน้ำให้เพียงพอ
เตรียมน้ำสะอาดให้พร้อมและเข้าถึงได้ตลอดเวลา อาจสลับมาให้อาหารเปียก เพื่อช่วยให้เจ้าเหมียวได้รับน้ำเพิ่มขึ้น
- ทำความสะอาดกระบะทราย
ควรทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อสุขลักษณะที่ดีทั้งของตัวคุณเองและเจ้าตัวน้อย
- ให้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ให้เจ้าเหมียวพักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่สงบและปลอดภัยเพื่อลดความตึงเครียด รวมถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือการเล่นที่สร้างความตื่นเต้นที่มากเกินไป
อาการท้องผูก
หากคุณสังเกตเห็นน้องเหมียวของคุณดูเกร็งๆในกระบะทรายล่ะก็ เขาอาจจะกำลังมีอาการท้องผูกอยู่ ซึ่งอาการดังกล่าวอาจเกิดจากการเปลี่ยนอาหาร การให้อาหารมากเกินไป หรือการติดเชื้อเช่นเดียวกับอาการท้องร่วง หากมีอาการดังกล่าวติดต่อกันเกิน 48 ชั่วโมง คุณควรปรึกษาสัตวแพทย์
สาเหตุของอาการท้องผูก
ปัญหาท้องผูกในแมวเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น:
- เลียขนมากเกินไป ส่งผลให้มีก้อนขนอุดตันในทางเดินอาหารจนไม่สามารถขับอุจจาระออกมาได้
- ได้รับไฟเบอร์หรือใยอาหารไม่เพียงพอ
- ลำไส้อุดตัน
- โรคไต
- ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง
- มีเนื้องอกในลำไส้ใหญ่
- โรคลำไส้โป่งพอง (Feline Megacolon) - เป็นโรคที่เกิดจากลำไส้ใหญ่ขยายใหญ่ขึ้นโดยที่กล้ามเนื้อไม่สามารถควบคุมการบีบตัวและขับอุจจาระออกมาได้
ลักษณะอาการ
ลูกแมวท้องผูกมักจะมีอาการเหล่านี้:
- อุจจาระแห้งและแข็ง
- ถ่ายน้อยกว่าปกติหรือไม่ถ่ายเลย
- ส่งเสียงร้องขณะขับถ่าย
- หน้าท้องตึงและหลังค่อม
หากพบว่าเจ้าตัวน้อยไม่ถ่ายเลยเป็นเวลา 48 - 72 ชั่วโมง รวมถึงมีอาการข้างต้นร่วมกับอาการอาเจียน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร หรือพฤติกรรมผิดปกติอื่น ๆ ให้รีบพาพวกเค้าไปพบสัตวแพทย์ในทันที ทั้งนี้ลูกแมวท้องผูกถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งอาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วที่สุด
การดูแลรักษาอาการท้องผูก
การรักษาอาการท้องผูกในแมวจะเป็นไปตามสาเหตุของอาการ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี ดังนี้:
การรักษาทั่วไป
ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง สัตวแพทย์อาจแนะนำให้เปลี่ยนสูตรอาหารและกิจวัตรบางอย่าง เช่น เปลี่ยนมาให้อาหารที่มีไฟเบอร์สูง และเพิ่มการกินน้ำให้มากขึ้น คุณหมออาจสั่งยาระบาย โพรไบโอติกส์ และยาขับก้อนขนเพิ่มเติมด้วยขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ หากมีอาการรุนแรงหรือเจ้าเหมียวไม่ถ่ายเป็นเวลาหลายวัน คุณหมออาจต้องนำเอาอุจจาระออกจากลำไส้ใหญ่ แต่ในกรณีที่มีอาการลำไส้โป่งพอง อาจต้องเข้ารับการผ่าตัด
การดูแลด้วยตนเอง
หากเจ้าเหมียวมีอาการไม่รุนแรงก็สามารถดูแลเองได้ที่บ้านตามคำแนะนำเหล่านี้:
- เปลี่ยนอาหาร
เพิ่งเปลี่ยนมาให้อาหารใหม่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่ อาหารชนิดใหม่อาจจะเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก ลองเปลี่ยนกลับไปให้อาหารเดิมดูก่อน
- ให้กินน้ำมากขึ้น
กระตุ้นให้เจ้าเหมียวกินน้ำมากขึ้น อาจเปลี่ยนมาให้อาหารเปียกเพื่อให้พวกเค้ารับน้ำเพิ่มมากขึ้น
- ให้อาหารที่มีไฟเบอร์สูง
อาหารของเจ้าเหมียวมีไฟเบอร์เพียงพอตามความต้องการในแต่ละวันหรือไม่? อาจเปลี่ยนมาให้อาหารที่มีไฟเบอร์สูง โดยสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพิ่มเติมได้
- เสริมด้วยโพรไบโอติกส์
หากอาหารแมวของคุณไม่มีโพรไบโอติกส์ อาจให้เพิ่มเป็นอาหารเสริมเพื่อบำรุงระบบย่อยอาหารและลำไส้ได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนตัดสินใจให้อาหารเสริม